Press Releaseใบแจ้งข่าว
Category: News
Friday 24 September 2010, 9.30 am. The Criminal Court is scheduled to read the verdict of Somchai Neelapaijit reached by the Appeal Court.
Background
After seven months of court hearings into the disappearance of Mr. Somchai from August 2005 onward on the offences regarding coercion and robber, the Bangkok Criminal Court read out the verdict in Black Case no. 1952 / 2547 and Red Case no. Or 48 / 2006 on 12 January 2006. In sum, the Court holds that:
“… After reviewing all the evidence, and considering that the prosecution witnesses including inquiry officials had given consistent accounts regarding the time and the place, the Court was undoubtedly convinced that Mr. Somchai had disappeared. As per the phone logs showing the use of mobile phones among the five defendants who contacted each other several times from different locations during the days before the incidence and on the day the disappearance took place, the Court still casts some suspicion over the phone logs. As the plaintiffs have failed to bring to court the Deputy Commissioner-General and Deputy Commander of the Metropolitan Police Bureau, who the plaintiffs claimed had helped to obtain the phone logging … ”วันที่ 24 กันยายน 2553 เวลา 9.30 น. ศาลอุทธรณ์ นัดอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์ คดีนายสมชาย นีละไพจิตร กรณีถูกลักพาตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในคดีความผิดต่อเสรีภาพ และปล้นทรัพย์
ความเป็นมา
นายสมชาย นีละไพจิตร ถูกบังคับให้สูญหาย เมื่อเวลาประมาณ 20.30 น.วันที่ 12 มีนาคม 2547 บนถนนรามคำแหง เยื้องกับสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก กรุงเทพมหานคร โดยเชื่อว่ามีมูลเหตุที่นายสมชายได้ร้องเรียนเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการซ้อมทรมานผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นประชาชนในจังหวัดนราธิวาสในคดีปล้นปืน เผาโรงเรียน ทั้งนี้ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาในคดีความผิดต่อเสรีภาพ และปล้นทรัพย์ โดยมีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ พ.ต.ต.เงิน ทองสุก จำเลยที่ 1 กับพวก คดีหมายเลขดำที่ 1952 / 2547 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 48 / 2549 เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2549 โดยมีความสรุปว่า
“.. ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว โจทก์มีพยานเป็นพนักงานสอบสวน เบิกความสอดคล้องตรงกัน ทั้งเวลาและสถานที่ ทำให้เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่านายสมชายหายตัวไปจริง ส่วนการที่โจทก์นำข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยทั้ง 5 ที่ติดต่อกันหลายครั้งในสถานที่ต่างๆ ในช่วงวันเวลาก่อนเกิดเหตุและในวันเกิดเหตุที่นายสมชายหายตัวไป ศาลเห็นว่ายังมีข้อสงสัยในเอกสารหลักฐานการใช้โทรศัพท์ เนื่องจากโจทก์ไม่ได้นำ ผู้ช่วยผู้บัญชาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ผช ผบ ตร.) และ รอง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบ บชน.)ที่อ้างว่าเป็นผู้ประสานขอเอกสารดังกล่าว จากบริษัทโทรศัพท์เคลื่อนที่มาเบิกความยืนยันในชั้นศาล “
“…The undisputed facts, therefore, have been established without a doubt that on the date and at the time and place as indicated in the indictment, Accused No.1 and other 3 to 5 persons jointly captured Mr. Somchai Neelapaijit into the car prepared by Accused No.1 et al without consent of Mr.Somchai Neelapaijit and drove the car away…”
“… It is therefore adjudicated that Accused No.1 is guilty under Section 309 paragraph one, Section 391 of the Penal Code. The act of Accused No.1 is the same act punishable by several provisions, Accused No.1 is thus punished under Section 309 paragraph one of the Penal Code which is the severest punishment pursuant to Section 90 of the Penal Code. Accused No. 1 is therefore sentenced for 3 years imprisonment. Other requests as well as indictments against Accused No. 2 to Accused No. 5 are dismissed… “
Failure of state mechanisms to uphold justice
It seemed at the time as if the government led by PM Pol.Lt.Col. Thaksin Shinawatra was endeavoring to solve the case of the enforced disappearance of Somchai Neelapaijit. And though PM Thaksin and high ranking police officials in charge of the investigation in this case told the press that major evidence had been found, useful for identifying the perpetrators, later testimonies and evidence including forensic evidence submitted to the Court had failed to hold perpetrators liable to the charges.
6 years and 6 months past had showed obvious discomfort toward solving the disappearance case of Mr. Somchai Neelapaijit while interference by politicians continued. According to the DSI Establishment Act, the DSI is an independent agency and its inquiry officials are fully authorized to address grievances faced by people as a result of abuse and misuse of power by state officials and influential people. However, thus far, the DSI has failed to effectively investigation of Somchai Neelapaijit disappearance and they have simply failed to fulfill public expectations.
Investigations by the National Anti-Corruption Commission -NACC on this case have been extraordinarily slow compared to other cases taken on by NACC. The delay in the action of NACC greatly compromises the safety of all witnesses involved in the case.
Meanwhile, Mr. Abdulah Arbukaree, another important witness in this case who had been living under the DSI witness protection scheme, disappeared from his residence in Narathiwat on 11 December 2009, after he came back from a visit to his family during the religious festival. His whereabouts are still unknown and the DSI, which is in charge of the protection given to Mr. Abdulah as a witness, has not shown any responsibility toward the case.
While another witness Mr. Suderueman Malae are now being charged with making a false statement of torture to NACC by Pol. Maj. Gen. Chakthip Chaijinda. The plaintiffs filed the complaint with the Bangkok Criminal Court which is now in the process of calling for evidence. At the same time, the plaintiffs have requested to obtain access to the investigation report from the NACC which they have not yet made available.
Apart from the disappearance of a major witness, Pol. Major Ngern Thongsuk, Defendant 1, also went missing on 19 September 2008, according to media reports.
…………………..
Contact :
Angkhana Neelapaijit 084- 728 0350
“ … ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยยุติและปรศจากข้อสงสัยว่า ตามวัน เวลา และสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 3-5 คนได้ร่วมกันจับตัวนายสมชาย นีละไพจิตร เข้าไปในรถที่จำเลยที่ 1 กับพวกเตรียมมา โดยที่นายสมชาย นีละไพจิตร ไม่ยินยอมแล้วขับออกไปจากที่เกิดเหตุ .. “
“ .. ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พ.ต.ต.เงินกระทำผิด ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรค 1 และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น ให้กระทำการใด หรือไม่กระทำการใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรค 2 ให้ลงโทษในบทหนักสุด ฐานกักขังหน่วงเหนี่ยวเป็นเวลา 3 ปี ส่วนจำเลยที่ 2-5 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐาน ในการกระทำผิดตามฟ้อง”
ความไม่เต็มใจของรัฐในการอำนวยความยุติธรรม
นายสมชาย นีละไพจิตร ถูกบังคับให้สูญหายในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้ดูเหมือนว่ารัฐบาลขณะนั้นพยายามคลี่คลายคดี โดยการตั้งข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นาย ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว และปล้นทรัพย์ แต่เมื่อคดีถูกนำขึ้นสู่การพิจารณาของศาล กลับพบข้อเท็จจริงที่ปรากฎว่า พยานหลักฐานต่างๆในคดีถูกทำลายจนไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะสามารถนำมาใช้เพื่อประกอบในการนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ อีกทั้งการที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการประกันตัวระหว่างการพิจารณาคดี เป็นสาเหตุที่ทำให้พยานเกิดความหวาดกลัวจากการถูกคุกคาม และพยานบางคนกลับคำให้การในชั้นศาล
พบว่าที่ผ่านมารัฐบาลไม่มีความเต็มใจ(unwilling) ในการคลี่คลายคดีการสูญหายของนายสมชาย นีละไพจิตร อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงการแทรกแซงการสืบสวน สอบสวนจากฝ่ายการเมืองมาโดยตลอด แม้ปัจจุบันคดีการเสียชีวิตของนายสมชาย อยู่ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และตามพระราชบัญญัติกรมสอบสวนคดีพิเศษ จะให้อิสระและให้อำนาจแก่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในการทำหน้าที่กรณีประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้มีอิทธิพล แต่ที่ผ่านมาจนปัจจุบันกรมสอบสวนคดีพิเศษก็ประสบความล้มเหลวในการคลี่คลายคดีการฆาตกรรมนายสมชาย นีละไพจิตร และพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามที่สังคมคาดหวัง
ในส่วนการพิจารณาของ ปปช.เป็นไปอย่างล่าช้าอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับคดีอื่นที่ ปปช. รับไว้พิจารณา ซึ่งบางคดีมีการตัดสินชี้มูลอย่างรวดเร็ว ความล่าช้าของ ปปช. จึงส่งผลกระทบอย่างสูงต่อความปลอดภัยของพยานทุกคนในคดี โดยเฉพาะการที่พยานสำคัญคนหนึ่งได้หายตัวไปภายใต้การคุ้มครองพยานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระหว่างรอการให้การในชั้นศาล เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2552 ระหว่างการกลับไปเยี่ยมบ้านที่จังหวัดนราธิวาส ในขณะที่พยานอีกคนหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงฟ้องร้องต่อศาลอาญากรุงเทพฯ ในข้อหาให้การเท็จเรื่องการถูกซ้อมทรมานต่อ ปปช.
นอกจากการสูญหายของพยานสำคัญในคดีแล้ว ยังปรากฏการสูญหายของจำเลยที่ 1 คือ พ.ต.ต.เงิน ทองสุก ดังปรากฏตามข่าวสารตามสื่อมวลชน ว่า พ.ต.ต.เงิน ได้พลัดตกน้ำหายไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2551
………………………….
ติดต่อ :
อังคณา นีละไพจิตร 084 -728 0350